บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากแดนคาตาลันคู่แข่งคนสำคัญของ เรอัล มาดริด
บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากแดนคาตาลันคู่แข่งคนสำคัญของ เรอัล มาดริด
บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากประเทศสเปน สโมสรจากเมืองบาร์เซโลนา แห่งแคว้นกาตาลุญญา ลงแข่งอยู่ลีกสูงสุดของแดนกระทิงดุ อย่าง ลาลีกา สเปน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคปัจจุบัน สามารถคว้าได้มากมายทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยแฟนบอลทั่วโลกจะคุ้นเคยกันในชื่อ บาร์ซา
จุดเริ่มต้นของตำนาน
สโมสรบาร์เซโลนา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1899 จากกลุ่มนักฟุตบอลสวิส อังกฤษ และสเปน ซึ่งมี ฌูอัน กัมเป เป็นผู้ริเริ่ม กัมเป เป็นนักฟุตบอลและประธานสโมสร ชาวสวิส ที่ได้ก่อตั้งสโมสรหลายๆ ทีม ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และกาตาลุญญา โดยมีสโมสรชื่อดังอย่าง เอฟซี ซูริค, บาเซิล และ บาร์เซโลน่า เป็นต้น บาร์เซโลน่า ถือเป็นสโมสรสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมคาตาลัน โดยมีคำขวัญประจำสโมสรว่า “Mes que un club” ซึ่งแปลว่า มากกว่าสโมสร
สโมสรประสบความสำเร็จอย่างมากในการลงแข่งขันช่วงแรก ทั้งรายการบอลถ้วยและระดับชาติ บาร์เซโลน่า เริ่มลงแข่งในรายการ กัมเปียวนัตเดกาตาลุนยา และโคปา เดล เรย์ โดยคว้าถ้วยแรกของสโมสรอย่าง โกปามากายา ในปี ค.ศ. 1902 ต่อมา กัมเป ได้ขึ้นเป็นประธานสโมสรในปี ค.ศ. 1908 โดยได้รับตำแหน่งประธานสโมสรถึง 5 วาระด้วยกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 จนถึง 1925 รวมแล้วกว่า 25 ปี ที่ กัมเป ดำรงตำแหน่งประธานของสโมสร
วันที่ 14 มิถุนายน ของปีค.ศ.1925 แฟนบอลและฝูงชนจำนวนมากได้ทำการร้องเพลงชาติเพื่อเป็นการประท้วงต่อระบอบเผด็จการจากผู้นำ มีเกล เด รีเบรา ส่งผลให้สนามถูกปิดยาวนานถึง 6 เดือน ด้วยการโต้ตอบทางการทหารพร้อมบีบให้ กัมเป ถอนตัวจากการเป็นประธานสโมสร ผลพวงจากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสโมสรสู่ความเป็นมืออาชีพ
หนึ่งปีถัดมาผู้บริหารของ บาร์เซโลน่า ได้ทำการประกาศสู่สาธารณะ ว่า บาร์เซโลน่า จะก้าวสู่สโมสรมืออาชีพเป็นครั้งแรก และสโมสรได้ชนะการแข่งขันถ้วยสเปน จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1930 กัมเป ได้ฆ่าตัวตายจากความเครียดที่สะสมมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัวและปัญหาด้านการเงิน
แม้ว่า บาร์เซโลน่า จะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ก็มีช่วงที่เข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย จากความขัดแย้งด้านการเมืองที่ลดความสำคัญของกีฬาลง ถึงจะคว้าแชมป์มากมายแต่สงครามกลางเมืองขึ้นในปี ค.ศ.1936 ทำให้ต้องมีนักฟุตบอลหลายคนจากแคว้นคาตาลัน จากสโมสร บาร์เซโลน่า และแอธเลติก บิลเบา เข้าไปเป็นทหารเพื่อต่อต้านการปฏิวัติ ในเวลานั้นประธานสโมสรอย่าง ชูเซบ ซุนยอล ที่ควบตำแหน่งตัวแทนพรรคสนับสนุนการเมืองเสรี ถูกฆาตกรรม จากกลุ่มทหารฟาลังเคใกล้กับเมืองกวาดาร์รามา
หลังจากสงครามการเมือง ส่งผลให้มีการสั่งห้ามใช้ธงชาติคาตาลันและบังคับให้สโมสรที่ชื่อภาษาสเปน จนทำให้ บาร์เซโลน่า ต้องเปลี่ยนเป็น กลุ่มเดฟุตบอลบาร์เซโลนา (Club de Fútbol Barcelona) พร้อมเอาธงคาตาลันออกจากตราสโมสรทันที
จนมาถึงปี ค.ศ.1943 ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ โกปาเดลเฆเนราลิซิโม เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ทั้ง 2 ทีมเป็นเหมือนตัวแทนทางด้านการเมืองระหว่าง แคว้นกาตาลุญญาและชาติสเปน นัดแรกลงแข่งขันกันที่สนามของ บาร์เซโลน่า เจ้าบ้านคว้าชัยเหนือทีมเยือนไปได้ 3-0 ต่อมาก่อนการแข่งขันในนัดที่ 2 ที่บ้านขอ งเรอัล มาดริด จอมพล ฟรันซิสโก ฟรังโก ได้เข้ามาเยี่ยมในห้องพักนักเตะของบาร์เซโลนา พร้อมเตือนพวกเขาว่า ที่พวกเขาสามารถลงแข่งขันในนัดนี้ได้ เป็นเพราะความกรุณาต่อระบอบการปกครอง และนัดนั้นจบลงด้วยผลสกอร์ 11-1 ทำให้เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ไปอย่างสบายเท้า ส่งผลให้เห็นถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด
ในช่วงทศวรรษ 1960 คู่ปรับอย่าง เรอัล มาดริด ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการถือแชมป์แต่เพียงผู้เดียว เพราะในเวลานั้นทางฝั่ง บาร์เซโลน่า ทุ่มเงินไปกับการสร้างสนาม คัมป์ นู ส่งผลให้ไม่มีเงินมากพอที่จะเสริมทัพนักเตะด้วยผู้เล่นใหม่ จน คัมป์ นู สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1957 บาร์เซโลน่า จึงเริ่มกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในปี ค.ศ.1963 กับถ้วยโกปาเดลเฆเนราลิซิโม และในปี 1966 ก็คว้าถ้วยแฟส์คัป และอีกครั้งในปี ค.ศ.1968 ในถ้วยโกปาเดลเฆเนราลิซิโม
โดยในนัดชิงครั้งนี้ต้องเจอกันกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด อีกครั้ง ต่อหน้าจอมพลฟรังโก และบาร์ซาสามารถเอาชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 1-0 ที่ เบอร์นาเบว
จนมาถึงในปีค.ศ.1974 เป็นปีที่สิ้นสุดระบอบเผด็จการของจอมพลฟรังโก สโมสรจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างเป็นทางการ และเปลี่ยนตราสัญลักษณ์สโมสรกลับมาเป็นแบบเดิม พร้อมด้วยธงและตัวอักษรดั้งเดิม
ฤดูกาล 1973/74 สโมสร บาร์เซโลน่า ตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลถึง 920,000 ปอนด์ สำหรับค่าตัวของ โยฮัน ครัฟฟ์ จากอาแจกซ์และนั่นส่งผลให้เป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของโลกในเวลานั้นทันที เวลานั้น โยฮัน ครัฟฟ์ ถือว่าเป็นนักเตะที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดของโลก ด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์ในปี ค.ศ.1971 สมัยที่เล่นอยู่กับ อาแจกซ์ และการมาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ทำให้ บาร์เซโลน่า แข็งแกร่งขึ้นมากเลยทีเดียว
โยฮัน ครัฟฟ์ ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วและสร้างความประทับใจให้กับเหล่าแฟนบอลกาตาลุญญา ด้วยการประกาศกับทางสื่อยุโรปถึงเหตุผลที่เลือกย้ายเข้าสู่ บาร์เซโลน่า โดยไม่เลือกเรอัล มาดริด เพราะว่าเขายอมรับไม่ได้และไม่ต้องการลงเล่นให้กับสโมสรที่มีเกี่ยวข้องกับจอมพลฟรังโกได้ นอกจากนี้เขายังได้ตั้งชื่อลูกชายของเขาในภาษาคาตาลันว่า “ยอร์ดี” (Jordi) ชื่อเดียวกับนักบุญท้องถิ่น
และทันทีที่การมาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ในฤดูกาล 1973/1974 บาร์เซโลน่า สามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ทันที หลังจากได้แชมป์นี้ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1960 โดยสามารถเอาชนะเรอัล มาดริด ไปได้ถึง 5-0 ถึงสนามเบร์นาเบว ขณะเดียวกัน โยฮัน ครัฟฟ์ ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปยุโรป หรือบัลลงดอร์ ประจำปี ค.ศ.1973 และนั้นเป็นบัลลงดอร์ครั้งที่ 2 ของเขา และ โยฮัน ครัฟฟ์ ยังได้รับรางวัลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ.1974 กับ บาร์เซโลน่า และเป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้ 3 สมัย
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1982 สโมสรได้ทำการเซ็นสัญญากับ มาราโดนา ด้วยตัวเป็นสถิติโลกอีกครั้ง พวกเขาจ่ายเงินจำนวน 5 ล้านปอนด์ ให้กับทางสโมสรฟุตบอลโบคาจูเนียส์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ เมนอตตี ฤดูกาลนั้น บาร์เซโลน่า ชนะการแข่งขันโกปาเดลเรย์ พวกเขาคว่ำคู่ปรับอย่าง เรอัล มาดริด ลงได้ แต่เขาก็อยู่กับ บาร์เซโลน่า ได้ไม่นานมากนัก เนื่องจากเกิดอาการบาดเจ็บถึงขั้นขาหัก
แต่แล้วในปี ค.ศ.1988 โยฮัน ครัฟฟ์ ได้กลับมา บาร์เซโลน่า อีกครั้งในฐานผู้จัดการทีม เขาได้ดึงนักเตะจากชุดเยาวชนขึ้นมาเล่นผนึกกำลังกับนักเตะที่ซื้อเข้ามา โดยชุดนั้นประกอบไปด้วย เปป กวาร์ดิโอลา, โคเซ มารี บาเกโร และ ตซีกี เบกีริสไตน์ ส่วนนักเตะที่เซ็นสัญญาเข้ามามีตั้งแต่ โรนัลด์ คูมัน, ไมเคิล เลาดรู๊ป และที่ขาดไม่ได้เลยคือ โรมาริโอ
ภายใต้การนำทัพของ โยฮัน ครัฟฟ์ สโมสร บาร์เซโลน่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาพาบาร์ซาคว้าแชมป์ลาลีกา 4 สมัยติดต่อกัน พร้อมถ้วยยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ และ โกปา เดล เรย์ แถมยังพา บาร์เซโลน่า ชูแชมป์บอลถ้วยยุโรป พร้อมกับยูฟ่าซูเปอร์คัพในปีเดียวกัน ไปจนถึง ซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา อีก 3 ครั้ง รวมถ้วยรางวัลที่ โยฮัน ครัฟฟ์ นำเข้าสู่สโมสรทั้งหมดมากถึง 11 ถ้วย ส่งผลให้ โยฮัน ครัฟฟ์ เป็นผู้จัดการทีมของเจ้าบุญทุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลคนหนึ่งทันที
จนถึงฤดูกาล 1996-1997 บ็อบบี ร็อบสัน ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาของสโมสร เขาจัดการดึงหนึ่งในนักเตะสุดยอดของโลกในเวลานั้นอย่าง โรนัลโด จากสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น เพียงปีเดียว พวกเขาก็จัดการคว้ารางวัลได้ถึง 3 ถ้วยอย่าง โคปา เดล เรย์, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา แต่ โรนัลโด ก็อยู่กับทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน
ฤดูกาลถัดมา หลุยส์ ฟาน กัลป์ เซ็นสัญญาคุมทีม บาร์เซโลน่า พร้อมดึงตัวนักเตะใหม่อย่าง หลุยส์ ฟิโก้, แพททริค ไคลเวิร์ต, หลุยส์ เอ็นริเก้ พร้อมด้วย ริวัลโด้ พวกเขาสามารถพาทีมชนะโคปา เดล เรย์และลาลีกา ปี ค.ศ.1998 และปีค.ศ.1999 ส่ง ริวัลโด้ เป็นนักเตะที่ได้รับนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป เป็นคนที่ 4 ของสโมสรทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ด้วยความคาดหวังในการคว้าแชมป์ยุโรป ทำให้กดดันนูเญซและฟาน กัลป์ จนต้องลาออกจากสโมสรออกไปทั้งคู่ นอกจากประธานสโมสรและผู้จัดการทีมจะลาออกไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งนักเตะขวัญใจของชาวคาตาลัน อย่าง หลุยส์ ฟิโก้ ที่เป็นถึงรองกัปตันทีมสโมสรขณะนั้น ได้ตัดสินใจย้ายทีมโดยตรงไปยัง ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด คู่แค้นตลอดกาลของพวกเขา ที่ขณะนั้นเรอัล มาดริด ได้มีแผนการสร้าง “กาลาคติกอส รุ่นที่ 1” หรือการดึงนักเตะชั้นนำของโลกจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในทีม
และ หลุยส์ ฟิโก้ คือเป้าหมายเบอร์ 1 ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ดำรงตำแหน่งประธานสโมสร เรอัล มาดริด ในขณะนั้น ส่งผลให้แฟนบอล บาร์เซโลน่า เสียสติและคลุ้มคลั่งอย่างมาก เมื่อ หลุยส์ ฟิโก้ กลับมาเล่นที่คัมป์ นู อีกครั้งในฐานะคู่แข่ง ขนาดเวลาที่ลงเล่น หลุยส์ ฟิโก้ ยังถูกปาข้าวของทั้ง ขวด, เหรียญ ไปจนถึงหัวหมูเลยทีเดียว
ระหว่างที่ นูเญซ ตัดสินใจลาออกไป บาร์เซโลน่า ก็ได้มี ชูอัง กัสปาร์ต เข้ามาทำหน้าที่ ดดยดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปีด้วยกัน แต่ด้วยปัญหาหลายอย่าง สโมสรเริ่มตกต่ำและผู้จัดการทีมก็เปลี่ยนผลัดเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง เขาจัดการดึง ฟาน กัลป์ กลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถการันตีความสำเร็จและความเชื่อมั่นได้ ทำให้เขาและฟาน กัลป์ ต้องออกจากสโมสรไป
จนมีประธานหนุ่มไฟแรงคนใหม่อย่าง ฮวน ลาปอร์ตา เข้ามากู้สโมสรให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมดึงผู้จัดการทีมหนุ่มชาวดัตช์ อย่าง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด พร้อมมีผู้เล่นชาวต่างชาติมากมายย้ายเข้ามา ทำให้ บาร์เซโลน่า กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง บาร์เซโลน่า ชนะรายการลาลีกาและซูเปอร์ โคปา เด เอสปาญา ประจำฤดูกาล 2004-2005 พร้อมกับกองกลางของทีมในเวลานั้นอย่าง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า อีกด้วย
แต่ฤดูกาลถัดมาผลงานของ บาร์เซโลน่า ผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว หลังจากที่เปิดตัวได้อย่างสวยงามด้วยการครองอันดับ 1 ในลีกเกือบจนจบฤดูกาล แต่สุดท้ายโดนคู่อริอย่าง เรอัล มาดริด ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกในช่วงโค้งสุดท้ายไปอย่างหน้าตาเฉย ต่อมาในฤดูกาล 2007/2008 บาร์เซโลน่า ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ทำให้ต้องตัดสินใจแยกทางกับ ไรจ์การ์ด และดึงตัว เปป กวาร์ดิโอลา ที่เป็นผู้จัดการทีมชุดบีอยู่ในเวลานั้นขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่แทนจนจบฤดูกาล
การมาของ เปป กวาร์ดิโอลา เหมือนเป็นสร้างบาร์ซาขึ้นมาใหม่ในแบบของ กวาร์ดิโอลา เอง ด้วยการดึงนักเตะจากชุดบีและดาวรุ่งขึ้นมาเล่นมากมาย เขาจัดการขายสตาร์ของทีมอย่าง โรนัลดินโญ่ พ้นจากทีม และตั้งเป้าให้ เมสซี เป็นแกนหลักของทีมแทน
กวาร์ดิโอลา เปลี่ยนให้ บาร์เซโลน่า เป็นยอดทีมอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเอาชนะแอธเลติก บิลเบา รอบชิงชนะเลิศโคปา เดล เรย์ ไปถึง 4-1 ประตู พร้อมกับทำลายสถิติเป็นสโมสรคว้าถ้วยใบนี้สูงสุดที่ 25 ครั้ง ต่อมาอีก 3 วัน ก็เอาชนะ เรอัล มาดริด ในศึก ลาลีกา ส่งผลให้ บาร์เซโลน่า จบอันดับ 1 ของลีก ก่อนที่จะมาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รอบชิงชนะเลิศ ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปถึง 2-0 เป็นสมัยที่ 3 ของทีม และยังเป็นทีมแรกของสโมสรจากสเปนที่ได้ 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว
กุนซืออย่าง กวาร์ดิโอลา เข้ามาทำทีมเพียงแค่ 3 ปีครึ่งเท่านั้น แต่สามารถคว้าไปถึง 13 ถ้วยแชมป์จาก 16 รายการที่มีโอกาสลงแข่งขัน ทำให้เขาเป็นกุนซือที่มีรางวัลติดมือเข้าสโมสรมากที่สุด แม้ปัจจุบัน เปป กวาร์ดิโอลา จะแยกทางกับทางสโมสร แต่ด้วยรากฐานที่ยอดกุนซือชาวสเปนรายนี้สร้างเอาไว้ ทำให้ปัจจุบันบาร์เซโลนายังคงแข็งแกร่งมาจนถึงปัจจุบันนี้
สรุป
หากต้องการแทงบอลออนไลน์ แนะนำเลยที่ ufabet เว็บพนันออนไลน์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษจัดให้เต็มที่ทุกวันต้องที่นี่เท่านั้น คลิกเลย!!!
ประวัตินักเตะคนอื่นๆ และประวัติทีมฟุตบอล (อัพเดทเรื่อยๆ)