skip to Main Content

ประวัติ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กองหน้าพันธุ์ดุ ผู้หยุดสงครามกลางเมืองด้วยฟุตบอล

ประวัติ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กองหน้าพันธุ์ดุ ผู้หยุดสงครามกลางเมืองด้วยฟุตบอล

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1978 ที่เมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรี่โคสต์ โดย ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เริ่มต้นค้าแข้งใน ลีก เดอ ฝรั่งเศส กับทีมเลอม็อง ก่อนที่จะย้ายขึ้นมาเล่นใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส ให้กับแก็งก็อง จากนั้น โอลิมปิก มาร์กเซย ก็ได้ตัวดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ไปร่วมทีมและทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจจากการยิงไปทั้งหมด 18 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก ยิ่งไปกว่านั้น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยังยิงในยูฟ่าคัพอีกถึง 6 ประตู ทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมของเชลซีในเวลานั้น วางตัว ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เป็นเป้าหมายหลักในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะกลางปี และก็คว้าตัวเขามาได้สำเร็จ

ufabet

จุดเริ่มต้นของตำนาน

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมเชลซีช่วงกลางปี 2004 ถึงแม้จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บจะรบกวนอยู่บ่อยครั้งในฤดูกาลแรกแต่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็ยังทำได้ถึง 16 ประตูรวมทุกรายการและหนึ่งในนั้นเป็นประตูในนัดชิงชนะเลิศ ถ้วย คาร์ลิง คัพ

ฤดูกาล 2005/06 ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทำได้ถึง 16 ประตูและในจำนวนนั้น 12 ประตูเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกและช่วยให้เชลซีป้องกันแชมป์เอาไว้ได้สำเร็จ แต่ก่อนที่เชลซีจะป้องกันแชมป์ได้นั้น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ถูกกล่าวหาอย่างหนักถึงการพุ่งล้มหลังจากสองเกมปัญหาที่เขาใช้มือเล่นบอล แต่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา สามารถสยบเสียงวิจารณ์ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในเกมกับ เวสต์แฮมเมื่อเดือนมีนาคมปี 2006 เชลซีที่กำลังตามหลังอยู่ทั้งประตูและจำนวนผู้เล่นแต่สามารถพลิกกลับมาเอาชนะไปได้

ในฤดูกาลต่อมา ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทำได้ถึง 33 ประตูซึ่งเป็นการที่ยิงในพรีเมียร์ลีก 20 ลูก ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีกไปครองได้สำเร็จและ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยังสร้างสถิติลงสนามมากที่สุดในฤดูกาลเดียวที่ 60 นัดมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา จบฤดูกาลด้วยการยิงประตูแรกของสโมสรใน นิวเวมบลีย์ ให้เชลซีเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 2007

แต่ในฤดูกาล 2007/08 ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา โดนอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ารบกวนและต้องลงเล่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติในแอฟริกาอีกด้วย ทำให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยิงได้เพียง 15 ประตู หนึ่งในนั้นคือการยิง สเปอร์ส ที่นิวเวมบลีย์ในนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วย คาร์ลิง คัพ แต่สุดท้าย เชลซี ก็ยังแพ้อยู่ดี และ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยิงลิเวอร์พูลถึง 2 ประตูที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ พา เชลซี เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดเมื่อ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในรอบชิงชนะเลิศที่ตอนนั้นยังเสมอกันอยู่ที่ 1-1 จนสุดท้ายไม่มีประตูเพิ่มเติมจนต้องไปลุ้นกันถึงจุดโทษ โดยตอนนั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงจุดโทษพลาดและทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียเปรียบอย่างมากเลย ถ้าหากลูกสุดท้าย เชลซี ยิงเข้า จะทำให้ พลพรรคสิงห์บลู คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทันที

เหมือนทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีและคนที่สังหารจุดโทษคนสุดท้ายคือ จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมของ เชลซี ในตอนนั้นและเหตุการณ์ในความทรงจำก็เกิดขึ้นเมื่อ จอห์น เทอร์รี่ ลื่นในจังหวะสุดท้ายทำให้บอลลอยข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย สุดท้ายก็เป็น นิโคลาส อเนลก้า พลาดจุดโทษและเป็นทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไปได้สำเร็จ สร้างความเสียใจให้แก่นักเตะและแฟนบอลเชลซีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ในฤดูกาล 2008/09 การเข้ามาของผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง หลุยส์ ฟิลิปเป้ สโกลารี พร้อมกับความคาดหวังที่จะทำให้เกมรุกของ เชลซี มีคุณภาพขึ้น แต่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยังคงถูกรบกวนจากอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งมาได้เลย แม้จะทำประตู เบิร์นลีย์ ได้ใน คาร์ลิง คัพ แต่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กลับโดนลงโทษห้ามแข่งถึงสามนัดจากการแสดงความดีใจที่ไม่เหมาะสม และเมื่อ กุส ฮิดดิงค์ เข้ามาคุมทีมตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้ง

แต่ก็ต้องพบกับเหตุการณ์พลิกผันอีกครั้งในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศที่เจอกับ บาร์เซโลน่า หลังจากเชลซี ตกรอบด้วยประตูในช่วงทดเวลาของ อีเนียสตา ทางฝั่ง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินของทอม เฮนนิง โอเฟรโบ ทำให้ถูกลงโทษห้ามแข่งสามนัดในฤดูกาลหน้า และในนัดชิงเอฟเอคัพ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทำประตูตีเสมอ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นประตูที่ 4 ของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา จาก 4 เกมที่ลงเล่นในนิวเวมบลีย์

การทำคนเดียวสองประตูในนัดเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2009/10 เป็นสัญญาณที่ดีว่า ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา น่าจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้แล้ว โดย คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้จัดการทีม เชลซี ในขณะนั้น ได้วางแทกติกให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ นิโคลาส อเนลก้าได้เล่นคู่กัน ทำให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยิงได้ถึง 18 ประตูจาก 21 เกมในช่วงคริสต์มาส และจบฤดูกาลด้วยจำนวน 37 ประตูรวมทุกรายการ ช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ

ส่วน ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา คว้ารางวัลรองเท้าทองคำไปครอง ประตูชัยของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในศึก เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศยังช่วยให้ เชลซี คว้าดับเบิลแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แถม ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลโดยแฟนบอลอีกด้วย

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ลงเล่นทีมชาติครั้งแรกในปี 2002 และได้พา ไอวอรี่โคสต์ เข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2006 ในฐานะกัปตันทีมและต่อด้วยครั้งที่ 2 ในปี 2010 แม้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา จะทำประตูได้ทั้งสองครั้ง แต่ไอวอรี่โคสต์ ก็ไม่สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ ในการแข่งขันระดับทวีป ไอวอรี่โคสต์ ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยแพ้อียิปต์ในการดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2006 คว้าอันดับ 4 ไปครองในปี 2008 ที่กานา และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 2010

และในปี 2012 เชลซี ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนสื ลีก โดยต้องเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค โดย ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เป็นฮีโร่โขกทำประตูให้ทีมในนาทีที่ 88 ช่วยให้ เชลซี ตีเสมอ บาเยิร์น มิวนิค ได้สำเร็จ จนถึงช่วงดวลจุดโทษตัดสิน และ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็ยิงเป็นคนสุดท้ายช่วยให้ เชลซี ชนะจุดโทษและคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา ซึ่ง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็ถูกโหวตให้เป็น ยูฟ่าแมนออฟเดอะแมตช์ ในการแข่งขันฤดูกาล 2011/12

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ได้ย้ายไปเล่นให้กับ กาลาตาซาราย ในลีก ตุรกี เป็นระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่ฤดูกาล 2014/15 ได้ถูกเรียกตัวให้กลับมายัง เชลซี อีกครั้ง แม้อายุจะมากแล้วถึง 35 ปีก็ตาม

หลังจบฤดูกาล 2014/15 ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ได้ตกลงเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับมอนทรีออลอิมแพกต์ ในศึก เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์

หลังจบฤดูกาล 2015/16 ดรอกบาได้ใช้เวลา 18 เดือนสุดท้ายในอาชีพของเขากับสโมสร ฟีนิกซ์ ไรซิ่ง ที่สหรัฐอเมริกา และทาง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เกือบจะคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย USL CUP เป็นการปิดฉาก แต่ทีมตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศพลาดแชมป์ปิดฉากไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ได้ประกาสแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ในวัย 40 ปี

ประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา นั่นคือการที่เขาใช้ฟุตบอลเพื่อหยุดสงครามกลางเมืองที่มีมาอย่างยาวนานถึง 5 ปีเต็ม โดย ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ได้อัดเทป ส่งข้อความแห่งสันติภาพ สื่อไปหาทุกคนในประเทศ
และไม่น่าเชื่อว่าทุกคนในประเทศหันมาฟังกับสิ่งที่นักเตะผู้เป็นไอคอนของประเทศกำลังพยายามจะส่งสาสน์ถึง ทุกคนรับรู้แล้วว่า มันถึงเวลาที่ความเลวร้ายจากความขัดแย้งทางการเมืองจะถึงคราวยุติเสียที

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เหมือนเวลาที่ไล่ล่าตาข่ายในสนาม ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา พยายามเปิดเกมส์รุกต่อ คราวนี้ไม่ใช่เพื่อทำประตูของฝั่งตรงข้าม แต่เป็นการทำประตูแห่งสันติภาพ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ขอร้องประธานาธิบดีบักบูถึงการหยุดยิงและเจรจาสันติภาพ เพื่อเป็นการตอกย้ำในเรื่องนั้น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เสนอให้ทีมชาติไอวอรีโคสต์ไปลงเตะที่บูอาเก้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของฝ่ายกบฏ

มันฟังดูเหมือนข้อเสนอของคนเสียสติ แต่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏต่างเห็นชอบกับแผนการนี้และถือโอกาสนี้เป็นการแสดงออกถึงสันติภาพหลังจากมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในเดือนมีนาคมปี 2007

3 มิถุนายน 2007

การแข่งขันชิงแชมป์แห่งทวีปแอฟริกา 2008 รอบคัดเลือก ไอวอรี่โคสต์ เปิดบ้านรับการมาเยือนของมาดากัสการ์ การแข่งขันนัดนี้มีขึ้นเป็นครั้งแรกที่สนามสต๊าด บูอาเก้ ในเมืองบูอาเก้ โดย ประธานาธิบดี โลร็องต์ บักบู และ หัวหน้าฝ่ายกบฏ กิลโญม โซโร เข้ามานั่งดูการแข่งขันในสนามด้วยกัน มันเป็นภาพที่หาดูได้ยาก เมื่อหัวหน้าของกลุ่มคนที่ไล่ฆ่ากันจะเป็นจะตายในช่วงห้าปีที่ผ่านมา มานั่งดูฟุตบอลด้วยกันอย่างสงบ ท่ามกลางกองกำลังของทั้งสองฝ่าย

อาวุธของพวกเขาในวันนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อสังหารคนที่เห็นต่างกันอีกต่อไป แต่มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยเท่านั้น การดูแลความเรียบร้อยในสนามและบริเวณโดยรอบตกลงกันว่าจะเป็นของฝ่ายกบฏที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ โดยมีทหารฝ่ายรัฐบาลและบุคคลสำคัญของประเทศเข้ามาชมการแข่งขันท่ามกลางแฟนบอลแน่นขนัดกว่า 25,000 ชีวิตจากทั่วประเทศ

แกนนำของทั้งสองฝ่าย จับมือกันอย่างกับคู่รักเป็นการพิสูจน์ถึงสันติภาพแล้วก็มาถึงช่วงเวลาแห่งความน่าประทับใจ เมื่อเสียงเพลงบรรเลงทีมชาติไอวอรีโคสต์ดังขึ้นในสนาม ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน รัฐบาลหรือกบฏ มันไม่สำคัญอีกต่อไป ที่นี่มีเพียงชาวไอวอรีโคสต์เพียงหนึ่งเดียวที่จะร่วมกันร้องเพลงชาติเท่านั้น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทหารและแฟนบอลในเมืองบูอาเก้ และเขาเป็นคนยิงประตูปิดท้ายในนาทีสุดท้ายในชัยชนะอย่างสวยงาม 5-0 เหนือมาดากัสการ์

เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินเป่าหมดเวลาการแข่งขัน ความโกลาหลก็บังเกิด แฟนบอลพากันปีนรั้วและกระโดดลงสู่สนาม เป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่ฮีโร่ของชาตินามว่า ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา พวกทหารของฝ่ายกบฎพยายามกันแฟนบอลให้อยู่ห่างๆเพื่อความปลอดภัย แต่ก็ยอมให้แฟนบอลจับมือและควักโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปได้ แฟนๆยังคงความคลั่งไคล้ในตัวเขาถึงขั้นที่ตามขับรถไปส่งยังสนามบินกันเลยทีเดียว

ผลการแข่งขันหาได้สำคัญเหนือชัยชนะครั้งสำคัญที่มีต่อความเกลียดชังที่แบ่งแยกผู้คนออกเป็นสองฝั่ง เปลวเพลิงกลางสนามสต๊าด บูอาเก้ ในวันนี้หาใช่เปลวเพลิงแห่งการทำลายล้าง แต่มันคือเปลวเพลิงแห่งสันติภาพ ที่เหล่าทหารโยนอาวุธของพวกเขาทิ้งลงไปในกองเพลิง

กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเดินสวนสนามร่วมกันและประธานาธิบดีบักบูประกาศให้ชาวไอวอรีโคสต์และชาวโลกรับรู้ว่า สงครามสิ้นสุดแล้ว

22 ธันวาคม 2007
กระบวนการปลดอาวุธของทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นขึ้นซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราวสามเดือน ทหารของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏถอนตัวจากบริเวณใกล้แนวกันชนกลับเข้ากรมกองทหารในยามัสซูโครและบูอาเก้ ซึ่งงานนี้ทั้งประธานาธิบดีบักบู และ กิลโญม โซโร แกนนำฝ่ายกบฏเป็นคนควบคุมปฏิบัติการด้วยตนเอง ซึ่งบักบูก็ได้บอกว่า ตอนนี้กองกำลังทหารในแนวหน้าที่เคยตกอยู่ในความขัดแย้งไม่มีอีกแล้ว ส่วนโซโรก็เสริมว่ามันเป็น “จุดเริ่มต้นของการปลดอาวุธอย่างมีประสิทธิภาพ”

ห้าปีแห่งความเลวร้ายที่ทำให้ผู้คนชาติเดียวกันลุกมาเข่นฆ่ากันเองสิ้นสุดลงแล้ว สันติภาพที่ชาวไอวอรีโคสต์รอคอยมานานแสนนานกลับคืนสู่ประเทศอีกครั้ง และสำหรับผู้ที่มีส่วนผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้รับความนับถือจากคนทั่วประเทศในฐานะ วีรบุรุษ

กิลโญม โซโร อดีตแกนนำของฝ่ายกบฏในสงครามกลางเมืองครั้งแรกของไอวอรีโคสต์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ ดิดิเยร์ ดร็อกบา เป็นวีรบุรุษของชาติ จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกถึงตะวันตก ชาวไอวอเรียนมีความภาคภูมิใจในตัวเขา หรือผมจะบอกได้อีกอย่างว่า เขาเป็นความภาคภูมิใจแห่งชาวอัฟริกันทั้งหมดทั้งมวล เกมนี้เกิดขึ้นเพราะดร็อกบานำมันมายังบูอาเก้ เพื่อจะสถาปนาความปรองดองและเสริมสร้างสันติภาพ”
ส่วน โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ก็ออกมาชื่นชมการกระทำเพื่อหยุดยั้งสงครามของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ว่า “ กีฬาเข้าไปถึงในส่วนที่การเมืองไม่สามารถเข้าถึงได้ มันสามารถช่วยขจัดความขัดแย้งในทางที่สิ่งอื่นไม่สามารถทำได้” และเสริมว่า ดร็อกบา ควรได้รับรางวัลด้านมนุษยธรรมสำหรับผลงานของเขาในครั้งนี้

สรุป

หากต้องการแทงบอลออนไลน์ แนะนำเลยที่ ufabet เว็บพนันออนไลน์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษจัดให้เต็มที่ทุกวันต้องที่นี่เท่านั้น คลิกเลย!!!

ประวัตินักเตะคนอื่นๆ และประวัติทีมฟุตบอล (อัพเดทเรื่อยๆ)

Back To Top