skip to Main Content

ลูก้า โมดริช มนุษย์โลกคนแรกในรอบ 10 ปีที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์

ลูก้า โมดริช มนุษย์โลกคนแรกในรอบ 10 ปีที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์

ระหว่างสงครามปลดปล่อยตัวเองของโครเอเชีย โดย ลูก้า โมดริช และครอบครัวอาศัยอยู่ที่หมู่บ้าน โมดริซี ใกล้กับ โอโบรวัช แต่พวกเขาต้องถูกบังคับให้อพยพไปจากบริเวณดังกล่าว เมื่อตอนที่ ลูก้า โมดริช อายุ 6 ขวบ โดยพ่อของเขา สติเป เคยเป็นทหารโครเอเชีย และ ลูก้า โมดริช เสียปู่ของตัวเองจากการสู้รบ ขณะที่ครอบครัวของเขากำลังหลีกภัยในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ ซาดาร์ พ่อของโมดริช กลับไปรับราชการทหารอีกครั้ง โดยเขาใช้เงินที่มีอยู่น้อยนิดในครอบครัว ผลักดันลูกชายของตัวเองเข้าโรงเรียนฟุตบอลในท้องถิ่น

ufabet

ฉายแววแต่เด็ก

หลังจากได้โชว์พรสวรรค์ด้านฝีเท้าให้หลายคนได้เห็น ลูก้า โมดริช ได้เซ็นสัญญากับ ดินาโม ซาเกร็บ ตอนอายุ 17 ปี ในปี 2002 ก่อนจะได้สัญญาถาวรในอีก 3 ปีถัดมา ตอนอายุครบ 20 ปี อย่างไรก็ตาม ซีซั่นแรกของเจ้าตัวไม่น่าประทับใจนัก เมื่อกองกลางร่างเล็ก ไม่อาจเบิกสกอร์แรกให้กับตัวเองได้ ทว่า ลูก้า โมดริช เริ่มแข็งแกร่งขึ้นในปีถัดมา ก่อนจะตะบันไปถึง 7 ตุง จากการลงสนาม 31 นัด พร้อมกับช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ลูก้า โมดริช ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะพา ดินาโม ซาเกร็บ ป้องกันแชมป์ลีก ไว้ได้ อีกทั้งยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีก ประจำปีนั้นด้วย

จากนั้น ลูก้า โมดริช ได้ย้ายข้ามฝากมาอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นฤดูกาล ลูก้า โมดริช เจองานยากลำบากพอสมควร เพราะอยู่ในช่วงปรับตัว อีกทั้งเกมในอังกฤษเล่นกันหนัก ด้วยสรีระอันผอมบาง ส่งผลให้ ลูก้า โมดริช ต้องล้มลุกคลุกคลานมากกว่าพาบอลไปข้างหน้า แถมยังถูกจับให้มาเล่นตำแหน่งซึ่งไม่คุ้นเคยอย่างกองกลางตัวเชื่อมเกมทั้งที่ตำแหน่งของเขาต้องเป็นหน้าต่ำเท่านั้น ซ้ำร้ายกองกลางจอมเทคนิค ยังเจออาการบาดเจ็บเล่นงานเป็นว่าเล่น

ทำให้อนาคตของ ลูก้า โมดริช ทำท่าจะมืดมน แต่หลังจาก รามอส ถูกปลดออกไป พร้อมกับการเข้ามาของ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ทำให้ ลูก้า โมดริช เปลี่ยนเป็นคนละคนทันที หลังจากถูกจับไปเล่นตำแหน่งถนัดคือหน้าต่ำ อยู่หลังกองหน้าอย่าง โรมัน พาฟลิวเชนโก้ สลับกับ ดาร์เรน เบนท์ ซึ่งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังนั้นเอง ลูก้า โมดริช กลับมาเป็นคนเดิมเหมือนกับที่เคยเล่นให้ ดินาโม ซาเกร็บ และ ทีมชาติโครเอเชียอีกครั้ง ก่อนจะพาทีมจบอันดับ 8 ในลีก

หลังจากตกเป็นข่าวว่าทีมยักษ์ใหญ่ต่างแย่งชิงดาวเตะรายนี้ไปร่วมทีมในที่สุดก็ได้ข้อตกลงว่าเป็น เรอัล มาดริด มหาอำนาจจากสเปนคว้าตัวไปร่วมทัพได้จนได้ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปีเต็มและราคาอยู่ที่ 30 ล้านปอนด์ หลังจากนั้น 2 วัน ลูก้า โมดริช ได้ประเดิมสนามเป็นตัวสำรองในเกมสำคัญที่พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า ในรายการ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ และเรอัล มาดริด ก็เอาชนะไปได้จึงกลายเป็นถ้วยใบแรกแรกที่ ลูก้า โมดริช คว้าได้หลังจากเซ็นสัญญาได้เพียง 36 ชั่วโมง

แต่ทาง ลูก้า โมดริช ที่อยู่ภายใต้การคุมบังเหียนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ยังต้องปรับตัวอีกเยอะจนช่วงแรกตกเป็นสำรองซะส่วนใหญ่จน ลูก้า โมดริช พังประตูแรกในสีเสื้อราชันชุดขาวได้สำเร็จในการถล่มเอาชนะ เรอัล ซาราโกซ่า ขาดลอย 4-0 แต่ด้วยผลพวงจากการลงสนามที่ไม่ต่อเนื่องทำให้ ลูก้า โมดริช นี้ยังโชว์ฟอร์ไม่สะเด่าเหมือนตอนที่อยู่คลับไก่ ส่งผลให้ผลงานที่ออกมายังไม่ค่อยเข้าตาเท่าไรสำหรับฤดุกาลแรกที่ เรอัล มาดริด

หลังจากทางสโมสรตัดสินใจตะเพิด โจเซ่ มูรินโญ่ พ้นเก้าอี้พร้อมกับการเข้ามาของ คาร์โล อันเชล็อตติ ทำให้ ลูก้า โมดริช ได้เฉิดฉายอีกครั้งและกลายเป็นกำลังหลักของ เรอัล มาดริด ทันทีโดยประสานงานกับแข้งตัวเก๋าอย่าง ชาบี อลอนโซ่ ในการขับเคลื่อนเกมตรงกลางและ ลูก้า โมดริช ก็ไม่ทำให้สาวกราชันชุดขาวผิดหวังเนื่องจากมีสถิติการผ่านบอลที่ดีที่สุดในศึก ลา ลีกา สูงถึง 90%

และเป็นส่วนสำคัญในการปัดกวาดบอลก่อนถึงแผงหลัง ซึ่งประตูที่สามารถทำได้เกิดขึ้นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ โคเปเฮเก้น ยอดทีมจากเดนมาร์กหลังจากนั้น ลูก้า โมดริช ก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเรื่อยมา

โดยนัดที่ 100 ของ ลูก้า โมดริช กับ เรอัล มาดริด เป็นเกมที่ต้องเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค โคตรทีมจากเมืองเบียร์ใน ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศก่อนที่โชว์ฟอร์มเด่นด้วยการจัดไปหนึ่งแอสซิสต์ในเกมเลกสองที่เอาชนะขาดลอย 4-0 พร้อมกับพา เรอัล มาดริด ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีด้วยผลงานอันโดดเด่นทำให้ ลูก้า โมดริช มีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ของยูฟ่าด้วย

จนกระทั่งเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยส์ลีก ที่ต้องพบกับคู่รักคู่แค้นอย่าง แอตเลติโก มาดริด ก็ยังทำได้หนึ่งแอสซิสต์ช่วยให้เรอัล มาดริด ไล่ตีเสมอได้ในนาทีที่ 93 ก่อนจะต่อเวลาพิเศษและเป็น เรอัล มาดริด ที่เด็ดขาดกว่าเอาชนะไปได้ 4-1 พร้อมเถลิงแชมป์ยุโรปอย่างสะใจและแน่นอน โมดริช ได้เป็น 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมของสมาคมยูฟ่าในฤดูกาลนั้น

จากผลงานที่มีแต่จะดีขึ้นทำให้ เรอัล มาดริด ไม่รอช้าที่จะยืดสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2018 พร้อมกับต้อนรับคู่หูคนใหม่อย่าง โทนี่ โครส ที่ตัดสินใจย้ายไปมาจาก บาเยิร์น มิวนิค ในเยอรมัน

แต่แล้ว ลูก้า โมดริช ก็มาได้รับบาดเจ็บหนักเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติอิตาลี พร้อมยืนยันว่าจะไม่ได้ลงเล่นฟุตบอลยาวนานถึง 3 เดือนด้วยกัน จนกระทั่งต้นเดือนมีนาคม ลูก้า โมดริช กลับมาลงสนามได้อีกครั้งและกำลังอยู่ในช่วงเค้นฟอร์มเก่งกลับมาเหมือนเดิมแต่ก็ต้องโชคร้ายอีกครั้งเพราะ ลูก้า โมดริช ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนถึงขึ้นหมดสิทธิ์ลงเล่นและที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มเก่งไม่ออกเลยจนชวดแชมป์ในฤดูกาลนั้นไป

ต่อมา คาร์โล อันเชล็อตติ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นกุนซือและแทนที่ด้วย ราฟาเอล เบนิเตซ ถึงแม้จะเปลี่ยนคนกุมบังเหียนแต่ ลูก้า โมดริช ก็ยังคงเป็นคีย์แมนประจำทีมเช่นเดิมหลังจากสลัดคราบเดี้ยงกลับมาได้ ลูก้า โมดริช ก็ยังผลิตแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอดแต่พอถึงช่วงรับใช้ทีมชาติ ลูก้า โมดริช ก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง จนผลงานของ เรอัล มาดริด ค่อยๆถดถอยไปอีกครั้ง จนสโมสรตัดสินใจปลด ราฟาเอล เบนิเตซ กลางคันและทดแทนที่ลูกหม้ออย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ก่อนจะพา เรอัล มาดริด กลับมาเป็นทีมเดิมที่ฟอร์มเก่งอีกครั้ง

หลังจาก ซีเนอร์ดีน ซีดาน เข้ามากุมบังเหียน ลูก้า โมดริช ได้ออกมาเผยว่า ซีดาน จะกลายเป็นกุนซือที่ยอดเยี่ยมในอนาคตได้เพราะเขามีสัมพันธ์ที่ดีกับลูกทีมทุกคน หลังจากสลัดคราบเดี้ยงกลับมาได้และกลายเป็นฮีโร่ซัดชัยพาทีมเฉือน กรานาด้า 2-1 และพร้อมกลับมาเป็นตัวหลักอีกครั้ง

แม้ซีซั่นที่ผ่านมาจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนมาโดยตลอดแต่ถึงกระนั้น เรอัล มาดริด ก็ได้กันท่าทุกทีมด้วยการขยายสัญญาออกไปอีกจนถึง 2020 แถม ลูก้า โมดริช ก็ได้ลงสนามต่อเนื่องจนเป็นส่วนสำคัญพาต้นสังกัดเถลิงแชมป์ลา ลีกา มาครองได้สำเร็จยิ่งไปกว่านั้น เรอัล มาดริด ก็ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกครั้งและสมารถเอาชนะ ยูเวนตุส ไปได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไร

ที่สุดยอดยิ่งกว่าคือ ลูก้า โมดริช สามารถยึดตำแหน่งตัวหลักของ เรอัล มาดริด และเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันโดยเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ถึง 3-1 เป็นการสร้างประวัติศาสตร์โดยเป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ติดต่อกันถึง 3 ปี

และในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ทาง ลูก้า โมดริช ก็เป็นส่วนสำคัญช่วยให้ทีมชาติ โครเอเชีย ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จถึงแม้จะคว้าอันดับที่ 2 ก็ตามแต่ด้วยผลงานที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดทำให้ ลูก้า โมดริช คว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาได้สำเร็จโดยทำคะแนนทิ้งห่าง นักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ แบบไม่เห็นฝุ่นเลย

ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากของ ลูก้า โมดริช จากเด็กหนีสงครามสู้ผู้บัญชาการในสนามที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในปี 2018

สรุป

หากต้องการแทงบอลออนไลน์ แนะนำเลยที่ ufabet เว็บพนันออนไลน์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษจัดให้เต็มที่ทุกวันต้องที่นี่เท่านั้น คลิกเลย!!!

ประวัตินักเตะคนอื่นๆ และประวัติทีมฟุตบอล (อัพเดทเรื่อยๆ)

Back To Top